เมื่อเทคโนโลยีเคลื่อนที่เร็วกว่าเด็กเรียนทัน การสอนแบบเดิมไม่รอดอีกต่อไป
ในยุคดิจิทัลที่ทุกคนใช้สมาร์ตโฟนคล่องยิ่งกว่าการเปิดหนังสือ การศึกษาจำเป็นต้องเคลื่อนตามความจริงใหม่ของผู้เรียน หากรอบตัวเต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่เคลื่อนไหวเร็ว เน้นภาพ เสียง และการโต้ตอบแบบทันทีทันใด ห้องเรียนย่อมไม่อาจพึ่งเพียงการบรรยายบนกระดานได้อีกต่อไป การเรียนสายเทคโนโลยีสารสนเทศจึงท้าทายเป็นสองเท่า เพราะเป็นสาขาที่อัปเดตตลอดเวลา ต้องสอนให้เด็ก ปวช และ ปวส สามารถเข้าใจทั้งโลกดิจิทัล ทั้งระบบเครือข่าย และทั้งวิธีคิดแบบผู้ใช้เทคโนโลยีในโลกจริง การศึกษาจึงไม่ใช่เรื่องของข้อมูล แต่มันคือการออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพ เข้าใจ และลงมือทำได้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
จากมุมมองของห้องเรียนจริง ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องเล็ก นักศึกษาหลายคนไม่ติดตามงาน ไม่ส่งงานตามกำหนด บางคนไม่เข้าใจโครงสร้างของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของอาชีพสาย IT ความไม่สม่ำเสมอนี้ส่งผลให้คะแนนไม่พัฒนา และทักษะที่ควรได้รับกลับไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ อาจารย์ระพีพัฒน์ พรหมคุณ แห่งแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ SBAC พบสถานการณ์นี้อย่างตรงไปตรงมาในภาคเรียนที่ผ่านมา และนี่คือจุดเริ่มต้นของงานวิจัยที่น่าสนใจที่สุดชิ้นหนึ่งในระดับอาชีวะของปีการศึกษา 2567

เมื่อนักศึกษาส่งงานช้า ครูไม่จำเป็นต้องบ่น แต่ต้องสร้างสื่อที่ดึงเขากลับมา
อาจารย์ระพีพัฒน์ไม่ได้แก้ปัญหาด้วยการเข้มงวดหรือเพิ่มงานการบ้าน แต่เลือกเดินไปสู่แนวทางที่ผู้เรียนยุคนี้ตอบรับมากที่สุด นั่นคือการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนผ่าน Platform Canva ซึ่งเป็นสื่อมัลติมีเดียที่มีทั้งภาพ สีสัน การเคลื่อนไหว และปฏิสัมพันธ์ ทำให้บทเรียนไม่ใช่สไลด์นิ่ง ๆ แต่กลายเป็นเนื้อหาที่จับต้องได้และรีวิวซ้ำได้ตลอดเวลา ความคิดนี้ได้รับแรงขับจากทฤษฎีเทคโนโลยีการศึกษา เช่น CAI, Personalized Learning, Blended Learning, Microlearning และแนวคิด Virtual Lab ที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจกลไกของระบบได้เหมือนกำลังทดลองจริงในห้องปฏิบัติการเสมือน
ในบริบทการสอนวิชาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ซึ่งมักเป็นเนื้อหาที่เต็มไปด้วยโครงสร้าง โทโพโลยี และการทำงานของข้อมูล การสื่อสารด้วยภาพและการจำลองสภาพการณ์ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจได้เร็วกว่าเดิมมาก Canva ช่วยสร้างบทเรียนที่มีโครงร่าง มีขั้นตอนชัดเจน และมีแบบทดสอบวัดผลในแต่ละช่วง ทำให้ผู้เรียนรู้ว่าเรียนไปถึงไหนแล้วและเข้าใจมากน้อยเพียงใด การเรียนรู้จึงกลายเป็นกระบวนการที่สัมพันธ์กันระหว่างครูและผู้เรียน ในลักษณะของการ Feedback แบบ Real-Time ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการออกแบบสื่อการสอนในยุคดิจิทัล
อาจารย์ระพีพัฒน์ยังพบอีกว่า การนำแพลตฟอร์มแบบนี้มาใช้ทำให้บทบาทของครูเปลี่ยนจาก Teacher สู่ Facilitator ผู้เรียนสามารถค้นคว้าด้วยตัวเองมากขึ้น และสามารถกลับไปดูเนื้อหาซ้ำตามสไตล์การเรียนรู้ของตนเองได้ตลอด ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจของ E-Learning ที่ตอบโจทย์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลอย่างแท้จริง นอกจากนี้ Canva ยังช่วยให้เด็กที่ขาดความมั่นใจหรือเรียนช้ากว่ากลุ่มสามารถกลับไปเรียนซ้ำโดยไม่รู้สึกว่าตามเพื่อนไม่ทัน ลดแรงกดดัน และเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้เรียนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ตัวเลขผลลัพธ์ไม่เคยโกหก และครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสื่อที่ดีเปลี่ยนผลการเรียนได้จริง
ผลการวิจัยสะท้อนความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน กลุ่มตัวอย่างคือผู้เรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปีที่ 2 ห้อง 2/6 สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 41 คน ผลสอบหลังเรียนพบว่ามากกว่าร้อยละ 94.87 มีคะแนนตั้งแต่ 2 ขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นอัตราความสำเร็จที่สูงอย่างมากเมื่อเทียบกับรูปแบบการสอนเดิม นอกจากนี้ผลการประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนยังอยู่ในระดับดี ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ประมาณ 4.27 โดยผู้เรียนระบุว่าสื่อ Canva ทำให้เข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น ตั้งใจเรียนมากขึ้น และส่งงานสะดวกขึ้น การเรียนรู้จึงไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนอีกต่อไป แต่เกิดขึ้นได้ในทุกสถานการณ์ที่ผู้เรียนพร้อมจะเรียนรู้
เมื่อมองในเชิง Insight งานวิจัยนี้ทำให้เห็นความจริงบางอย่างที่วงการการศึกษาไทยควรยอมรับ นั่นคือเด็กไม่ได้อ่อน และไม่ได้ไม่สนใจเรียน แต่พวกเขาต้องการสื่อที่ดึงดูด เข้าใจง่าย และมีความหมายต่ออนาคตของตัวเอง เมื่อบทเรียนถูกออกแบบให้สอดคล้องกับความเป็นวัยรุ่นยุคดิจิทัล การเรียนรู้ก็เกิดขึ้นอย่างราบรื่นและมีพลังมากกว่าเดิม สื่อมัลติมีเดียแบบ Canva จึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือใหม่ แต่เป็นแนวทางสำคัญที่ช่วยเชื่อมผู้เรียนเข้ากับเนื้อหา IT ที่ซับซ้อน ให้กลายเป็นความเข้าใจที่ชัดเจนและพร้อมต่อยอดในวิชาชีพจริง
การศึกษายุคใหม่ต้องการมากกว่าเนื้อหา แต่มันต้องการประสบการณ์ และงานวิจัยของอาจารย์ระพีพัฒน์พิสูจน์แล้วว่าวิธีนี้ใช้ได้จริงในชั้นเรียนสายเทคโนโลยีสารสนเทศ อาชีวะไทยจึงสามารถพัฒนาได้อีกมาก หากเปิดโอกาสให้ครูทุกคนสร้างนวัตกรรมการสอนในแบบของตัวเอง เหมือนที่ SBAC สร้างพื้นที่ให้ครูคิด ทดลอง และนำผลวิจัยกลับมาใช้ปรับปรุงห้องเรียนได้จริง
ท้ายที่สุด SBAC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาการเรียนการสอนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจจึงมุ่งมั่นสร้างระบบสนับสนุนให้ครูทำวิจัยจริง สร้างสื่อนวัตกรรมใหม่ และออกแบบบทเรียนที่ตอบโจทย์เด็กยุคใหม่เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยในทุกมิติ SBAC ไม่ได้หยุดอยู่ที่การสอน แต่เดินหน้าขับเคลื่อนให้ครูเป็นผู้ออกแบบการเรียนรู้ และทำให้นักศึกษาในสาย IT ได้เติบโตอย่างมั่นใจในโลกเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน
ที่มา: งานวิจัยใยชั้นเรียน อาจารย์ระพีพัฒน์
Facebook Page เทคโนโลยีสารสนเทศ – SBAC Information Technology (IT): คลิกที่นี่
ช่องทาง Social Media ของแต่ละสาขาวิชา: คลิกที่นี่

