เรื่องจริงของอาจารย์ไอทีคนหนึ่งที่เปลี่ยนผลสัมฤทธิ์ของเด็ก ปวช. ได้แบบเห็นผลทันที
ในยุคที่โลกหมุนเร็วกว่าเดิมมาก และเทคโนโลยีเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เรียนอย่างรวดเร็ว การศึกษาจึงไม่ใช่แค่การสอนให้เด็กจำ แต่เป็นการทำให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาที่ดีไม่ใช่การคัดลอกเนื้อหาจากหนังสือ แต่คือการออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ให้ตอบโจทย์สมอง ความสนใจ และความต้องการของมนุษย์ยุคดิจิทัล
เพราะความจริงที่ทุกอาจารย์รู้ดีคือ เด็กไม่ได้จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง แต่ระบบการสอนต้องทำให้เด็ก อยากเรียน ก่อนเสมอ
และนี่คือจุดเริ่มต้นของงานวิจัยจากอาจารย์แผนกเทคโนโลยีสารสนเทศในระดับอาชีวศึกษา ที่ตัดสินใจไม่ยอมให้ห้องเรียนเดินไปแบบเดิมอีกต่อไป อาจารย์นงเยาว์ อาบสันเทียะ จากวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ (SBAC) ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจารย์จำนวนมากเข้าใจดี นั่นคือเด็ก ปวช. ปี 1 ส่งงานล่าช้า ไม่ติดตามงานของตัวเอง และกำลังหลุดจากกระบวนการเรียนรู้ทีละนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายวิชา 20001-1005 การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่องานอาชีพ ซึ่งควรเป็นรายวิชาที่ทำให้เด็ก IT เข้าใจพื้นฐานสำคัญที่สุดของการทำงานดิจิทัลในอนาคต
ปัญหาไม่ได้เกิดเพราะเด็กไม่อยากเรียน แต่เพราะวิธีการเรียนรู้แบบเดิมไม่สามารถแข่งขันกับโลกของ TikTok, YouTube และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เขาใช้ทุกวันได้อีกต่อไป

เมื่อเครื่องมือเดิมไม่ตอบโจทย์ อาจารย์จึงต้องสร้างเครื่องมือใหม่ด้วยตัวเอง
สิ่งที่น่าสนใจคือ อาจารย์นงเยาว์ไม่ได้เลือกบ่นว่าเด็กไม่ตั้งใจ หรือระบบไม่ดีพอ แต่เลือก “ลงมือสร้างวิธีการใหม่” และเปลี่ยนชั้นเรียนทั้งห้องให้เข้ากับยุคสมัยมากที่สุด นั่นคือการผสานสื่อมัลติมีเดีย (Multimedia Learning) เข้ากับระบบ Google Classroom ที่สามารถติดตามงาน ส่งคะแนน และเชื่อมต่อสื่อได้ตามจังหวะการเรียนรู้ของนักศึกษา
งานวิจัยที่เธอทำเป็นงานวิจัยในชั้นเรียนจริง เป็นการทดลองในกลุ่มนักศึกษาปวช. IT จำนวน 20 คน โดยออกแบบแผนการสอน บทเรียนสื่อมัลติมีเดีย แบบทดสอบ และแบบสอบถามความคิดเห็นขึ้นใหม่ทั้งหมด และใช้เวลาเก็บข้อมูลทั้งภาคเรียน
วิธีการที่ใช้มองดูเหมือนง่าย แต่มีผลลัพธ์มหาศาล เพราะเธอออกแบบให้เด็กสามารถเรียนรู้ผ่านภาพ เสียง และการโต้ตอบ ไม่ใช่แค่ตัวหนังสือแบบเดิม และที่สำคัญ เขาสามารถทบทวนบทเรียนได้ “เมื่อไหร่ก็ได้” ไม่ใช่เพียงในห้องเรียนเท่านั้น
ทำไม Multimedia + Online Classroom จึงกลายเป็นคำตอบของยุคนี้
ในโลกของเด็กอายุ 15–18 ปี การสื่อสารที่ดึงดูดที่สุดคือรูปภาพ เสียง และวิดีโอ ไม่ใช่ข้อความยาว ๆ ที่เต็มไปด้วยทฤษฎี
การเรียนรู้ที่ผสมผสานสื่อหลายรูปแบบช่วยกระตุ้นความสนใจ ทำให้สมองทำงานหลายมิติ และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเร็วขึ้น ยิ่งเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้แบบ self-paced learning เพราะ Google Classroom เปิดโอกาสให้เด็กย้อนกลับไปเรียนได้ตามความเข้าใจของตัวเอง
สิ่งที่อาจารย์นงเยาว์ค้นพบในงานวิจัยคือ เด็กที่มีปัญหาเรื่องการส่งงาน เมื่อมีระบบ Google Classroom ช่วยแจ้งเตือนและมีบทเรียนแบบมัลติมีเดียให้รีวิว กลับ “ส่งงานเร็วขึ้น” และ “เข้าใจเนื้อหามากขึ้น” อย่างเห็นได้ชัด
เพราะเครื่องมือออนไลน์ไม่ได้ทำให้เด็กฉลาดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ทำให้เด็ก เข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น และนี่คือหัวใจสำคัญของงานวิจัยนี้

ตัวเลขที่พิสูจน์ว่า การออกแบบการสอน สำคัญกว่าปริมาณเนื้อหา
งานวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนอยู่ที่ 7.05 แต่หลังเรียนเพิ่มเป็น 12.95 ซึ่งถือว่าพุ่งเกือบสองเท่า และมีความต่างทางสถิติที่ระดับ 0.05
หมายความว่าการเปลี่ยนวิธีสอนสามารถทำให้ประสิทธิภาพการเรียนรู้ของเด็กดีขึ้นทันที ไม่ใช่เพราะเด็กเปลี่ยน แต่เพราะวิธีการเรียนรู้ถูกออกแบบใหม่ให้ง่ายขึ้น สนุกขึ้น และเข้าถึงง่ายขึ้นจริง ๆ
นอกจากนี้ ผลการประเมินความพึงพอใจของนักศึกษายังสูงถึงระดับ 4.34 จาก 5.00 ซึ่งสะท้อนอย่างชัดเจนว่า เด็กไม่ได้ต่อต้านการเรียนรู้ แต่ระบบการเรียนรู้ที่ดีต้องตามจังหวะของเขาให้ทัน และต้องดึงเขาเข้ามามีส่วนร่วมในห้องเรียน
สิ่งที่น่าสนใจคือ นักศึกษายังให้คะแนนเต็ม 5 ในหัวข้อ “สื่อการสอน” และนี่คือหลักฐานว่า Multimedia Learning ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์สวยหรู แต่เป็นเครื่องมือที่ทำให้เด็กเข้าใจเนื้อหาได้จริง
การสอน IT ไม่ควรเป็นเพียงการอ่านจากสไลด์ แต่ต้องเป็นการ “มองเห็น เข้าใจ และลงมือทำ”
งานวิจัยที่ไม่ได้หยุดแค่ในเอกสาร แต่เปลี่ยนชีวิตอาจารย์และผู้เรียน
สิ่งที่งดงามที่สุดของงานวิจัยชิ้นนี้คือ มันไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อส่งประกวด หรือเพื่อให้ได้ผลงานวิชาการ แต่เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของนักศึกษาในห้องเรียนจริง
เมื่อเด็กส่งงานทันมากขึ้น เรียนรู้เร็วขึ้น และเข้าใจลึกขึ้น อาจารย์ก็สามารถจัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพมากขึ้นเช่นกัน
ในมุมของวงการศึกษา นี่คือภาพสะท้อนว่า อาชีวศึกษายังสามารถยกระดับผลการสอนได้อีกมาก หากอาจารย์ได้รับโอกาสในการสร้างนวัตกรรมการสอนของตนเอง เด็กอาชีวะไม่ได้ด้อยกว่าใคร แต่เขาต้องการวิธีการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์แบบที่คนยุคนี้เข้าใจได้ง่ายที่สุด
มันคือการเปลี่ยนห้องเรียนให้ “ทันสมัย ทันเด็ก และทันโลก”

บทเรียนสำคัญของงานวิจัยนี้ต่อการศึกษาไทยทั้งระบบ
งานวิจัยของอาจารย์นงเยาว์ทำให้เห็นสิ่งสำคัญบางอย่างที่สังคมไทยควรตระหนัก นั่นคือการศึกษาที่ดีไม่จำเป็นต้องเริ่มจากงบประมาณสูง แพลตฟอร์มแพง หรืออุปกรณ์จำนวนมาก แต่เริ่มจาก “ความตั้งใจของอาจารย์ในการพัฒนาเครื่องมือใหม่ให้เข้ากับผู้เรียนจริง”
Google Classroom เป็นเครื่องมือที่โรงเรียนส่วนใหญ่มีอยู่แล้ว แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพ งานวิจัยนี้จึงตอกย้ำว่า การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ ต้องเริ่มจากการออกแบบประสบการณ์ ไม่ใช่แค่การเปิดระบบให้เด็กเข้าไปดู
เด็กสามารถเรียนเร็วขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะเขาเก่งขึ้น แต่เพราะอาจารย์ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น
SBAC และพันธกิจในการสร้างอาจารย์ยุคใหม่ในสายเทคโนโลยีสารสนเทศ
งานวิจัยของอาจารย์นงเยาว์ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแบบโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสนับสนุนภายในวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามบริหารธุรกิจ (SBAC) ที่เชื่อมาตลอดว่า การศึกษาที่ดีต้องเริ่มจากผู้สอนที่มีทักษะและมีความสามารถในการสร้างสรรค์
SBAC ให้พื้นที่ ให้โอกาส และให้การสนับสนุนอาจารย์ทุกคนในการทำวิจัย พัฒนาสื่อ และสร้างนวัตกรรมการสอนของตนเอง เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของนักศึกษาในทุกสาขา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่วิทยาลัยมุ่งมั่นเป็น Excellent อย่างแท้จริง
SBAC ไม่ได้ต้องการเป็นเพียงสถานศึกษาที่สอนนักศึกษาให้ใช้โปรแกรมหรือเครื่องมือ แต่ต้องการสร้างผู้เรียนที่เข้าใจเทคโนโลยีอย่างลึกซึ้ง มีทักษะพร้อมสู่สายงาน IT และสามารถเติบโตในยุคดิจิทัลได้จริง ทั้งอาจารย์และนักศึกษาจึงเติบโตไปพร้อมกัน ผ่านการทดลอง ทำวิจัย และสร้างสรรค์เครื่องมือใหม่อย่างต่อเนื่อง
เพราะ SBAC เชื่อในหลักการว่า Education is not static แต่เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ตลอดเวลาเมื่ออาจารย์กล้าคิด กล้าลอง และกล้าสร้างสรรค์
นี่คือเหตุผลที่ SBAC ยังคงมุ่งหน้าผลักดันการเรียนในสายเทคโนโลยีสารสนเทศให้ตอบโจทย์อนาคต และทำให้เด็ก ปวช.–ปวส. ได้เรียนรู้ด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดเท่าที่อาจารย์สามารถออกแบบได้
SBAC เชื่อว่า อาจารย์ที่มีพลังสร้างสรรค์ คือหัวใจของการศึกษาที่ดี และงานวิจัยจริงในห้องเรียน คือเครื่องยนต์สำคัญที่ทำให้มาตรฐานของการเรียนการสอนเดินหน้าไปทุกปี
ที่มา: งานวิจัยในชั้นเรียน นงเยาว์ อาบสันเทียะ
Facebook Page เทคโนโลยีสารสนเทศ – SBAC Information Technology (IT): คลิกที่นี่
ช่องทาง Social Media ของแต่ละสาขาวิชา: คลิกที่นี่

